เครื่องสำรองไฟฟ้าหรือระบบ UPS คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จ่ายไฟสำรองฉุกเฉินเข้าสู่โหลดเมื่อแหล่งจ่ายไฟขาเข้าหรือกำลังไฟหลักเกิดล้มเหลวลง ระบบ UPS มีหน้าที่สำคัญสามประการ ได้แก่ การปรับสภาพกำลังไฟขาเข้าที่ยังไม่สะอาดจากผู้ผลิตและจ่ายไฟฟ้าเพื่อให้คุณได้รับกำลังไฟที่บริสุทธิ์และต่อเนื่อง ต่อมาคือการจัดหากำลังไฟฟ้าที่ไร้รอยต่อเพื่อครอบคลุมเหตุไฟตกหรือภาวะไฟดับระยะสั้น และสุดท้ายคือการสร้างรการปิดระบบอย่างราบรื่นระหว่างเกิดภาวะไฟดับโดยสิ้นเชิง

เฟสของ UPS เครื่องหนึ่ง เช่น UPS เฟสเดียว หรือ UPS สามเฟส อธิบายถึงจำนวนเฟสไฟฟ้าที่ UPS เครื่องหนึ่งได้รับและจ่ายต่อออกไป ระบบสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าจะผลิตกำลังไฟสามเฟส เพราะนั่นคือรูปแบบที่ทำให้สามารถส่งกระแสไฟฟ้าบนระยะทางไกลได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และในส่วนของสิ่งที่ใช้กำลังไฟในปริมาณมาก เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ การผลิตทางอุตสาหกรรม และโรงพยาบาล กำลังไฟจะยังคงอยู่เป็นแบบสามเฟส ซึ่งต้องใช้ UPS สามเฟส สำหรับสิ่งที่ใช้กำลังไฟน้อยลงมา ซึ่งรวมถึงอาคารที่พักอาศัยหรือสำนักงานและโรงเรียนส่วนใหญ่ กำลังไฟจะถูกแปลงเป็นกำลังไฟเฟสเดียว

การใช้งานบางอย่างมีทั้งอุปกรณ์แบบเฟสเดียวและสามเฟสผสมกันและจำเป็นต้องมี UPS ที่ปกป้องกำลังไฟได้ทั้งสองรูปแบบ และสำหรับการใช้งานเหล่านั้น UPS แยกเฟสสามารถจ่ายไฟฟ้าขาออกทั้ง 120V และ 208V ได้พร้อมกัน ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

UPS ได้รับพิกัดกำลังในโวลต์-แอมแปร์ (VA) โดยอยู่ในช่วงตั้งแต่ 300 VA ถึง 5,000 kVA พิกัดนี้แสดงถึงโหลดสูงสุดที่ UPS รองรับได้ แต่ไม่ควรตรงกับโหลดกำลังไฟที่คุณมีอยู่พอดี แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดแนะนำให้เลือก UPS ที่มีพิกัด VA เท่ากับ 1.2 เท่าของโหลดทั้งหมดที่คุณต้องการใช้รองรับเพื่อให้มีพื้นที่เผื่อการขยายตัว หาก UPS ของคุณต้องรองรับมอเตอร์ ไดรฟ์ อุปกรณ์จำลองภาพทางการแพทย์ หรือเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ให้เพิ่มความจุ VA ต่อความต้องการคุณให้มากขึ้นเพื่อให้ดูแลไฟไหลเข้าแรงสูงที่เกิดขึ้นเมื่ออุปกรณ์เหล่านั้นสตาร์ทขึ้น

บริษัทที่กำลังคาดว่าจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วควรใช้พิกัดที่สูงกว่า 1.2 เท่า ฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ๆ มักมีความต้องการทางกำลังไฟที่สูงขึ้นกว่ารุ่นเก่าๆ ดังนั้นควรพิจารณาเรื่องค่า VA เพิ่มเติมจึงจะช่วยดูแลเรื่องการเพิ่มอุปกรณ์ที่มีจำนวนมากขึ้นและใหม่ขึ้นได้

ระบบ UPS ได้รับการจำแนกกลุ่มตามโทโพโลยี ซึ่งอ้างอิงจากลักษณะการทำงานร่วมกันของ UPS และระบบสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้า สิ่งนี้บ่งบอกได้ระดับความมีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือที่คุณคาดหวังได้จากแหล่งพลังงานของคุณ โทโพโลยี UPS มี 5 ประเภท ได้แก่

UPS แบบสแตนด์บายช่วยให้อุปกรณ์ทำงานโดยใช้กำลังไฟจากระบบสาธารณูปโภคได้จนกระทั่ง UPS จะตรวจพบปัญหา จากนั้นระบบจะเปลี่ยนไปใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่เพื่อปกป้องจากเหตุไฟตก ไฟกระชาก และไฟดับ โทโพโลยีประเภทนี้เข้ากันได้ดีทึ่สุดกับการใช้งานที่ต้องการการสำรองไฟที่เรียบง่ายหรือมีอุปกรณ์ที่มีความไวต่ำ เช่น สำนักงานขนาดเล็ก/โฮมออฟฟิศ และอุปกรณ์ที่จุดชำระเงิน

UPS แบบไลน์อินเทอร์แอคทีฟ เช่น เครื่องสำรองไฟ Eaton รุ่น 5P, เครื่องสำรองไฟ Eaton รุ่น 5PX จะคอยควบคุมดูแลแรงดันไฟ ทั้งโดยการเพิ่มและลดกำลังไฟจากระบบสาธารณูปโภคตามความจำเป็นก่อนที่จะปล่อยผ่านไปยังอุปกรณ์ที่ได้รับการปกป้อง และโดยการพึ่งพากำลังไฟจากแบตเตอรี่ รุ่นแบบไลน์อินเทอร์แอคทีฟเหมาะสำหรับการใช้งานในจุดที่จำเป็นต้องมีการปกป้องจากความผิดปกติของกำลังไฟ แต่กำลังไฟจากระบบสาธารณูปโภคค่อนข้างสะอาด โทโพโลยีประเภทนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับตู้พักสาย (MDF) และตู้พักสายย่อย (IDF), ห้องเครือข่ายและเซิร์ฟเวอร์แบบไม่รวมศูนย์ และตู้ไอทีทั่วไป

UPS ออนไลน์ เช่น เครื่องสำรองไฟ Eaton รุ่น 9SX, เครื่องสำรองไฟ Eaton รุ่น 9PX นำเสนอการปกป้องระดับสูงสุดโดยการแยกอุปกรณ์ออกมาจากกำลังไฟดิบของระบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า จากนั้นจึงแปลงกำลังไฟจาก AC เป็น DC และแปลงกลับมาเป็น AC โทโพโลยีประเภทนี้แตกต่างจากประเภทอื่นๆ เนื่องจากวิธีการแปลงไฟสองชั้นหรือดับเบิลคอนเวอร์ชันนี้นำเสนอเวลาการถ่ายโอนกำลังไฟที่เป็นศูนย์ให้แก่แบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์ที่มีความไวสูง เนื่องจากกระแสไฟฟ้ามาจาก UPS อยู่แล้ว  โทโพโลยี UPS แบบดับเบิลคอนเวอร์ชันออนไลน์นี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์และตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อภารกิจการทำงาน และกำลังไฟจากระบบสาธารณูปโภคมีคุณภาพต่ำและพึ่งพาได้ยาก

UPS หลายโหมดได้รับการพิจารณาให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทที่ต้องการบรรลุความสมดุลระหว่างความมีประสิทธิภาพและการปกป้องในระดับที่เหมาะสมที่สุด ทั้งสองโหมดภายใน UPS ประเภทนี้ได้แก่ โหมดประหยัดพลังงานที่ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และโหมดปกป้องกำลังไฟระดับพรีเมียม UPS ประเภทนี้สามารถสับเปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองโหมดนี้ได้โดยอัตโนมัติเมื่อระบบตรวจพบปัญหาในกำลังไฟของระบบสาธารณูปโภค ฟังก์ชันการทำงานนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมหาศาล